วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


ครูซักถามเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวของนักเรียนแต่ละคน แล้วเขียนออกมาในรูปของ  mind mapping










Preposition คำบุพบท

Preposition คำบุพบท 
Prepositions คือ คําบุพบท เป็นคำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้ากับคำอื่นๆ ที่อยู่ในประโยค เพื่อให้ได้ใจความความประโยคที่กลมกลืนและสละสลวยมากยิ่งขึ้น
Preposition แต่ละคำจะมีความหมายประจำตัวของตัวเอง ดังนั้นเราจึงต้องหมั่นจำว่าคำที่เราเจอนั้นมีความหมายว่าอย่างไร และมีวิธีการใช้อย่างไร
Preposition ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษมักเจอ มีดังนี้
by about (เกี่ยวกับ) out of (ออกจาก) during (ระหว่าง) above (เหนือ) outside (ข้างนอก) except (ยกเว้น) across (ข้าม, ตามทาง) over (เหนือ,บน) after (หลังจาก) since (ตั้งแต่) from (จาก) against (ต่อต้าน, ชิด, ติด) through (ผ่าน, ทะลุ) along (ไปตาม) throughout (ทั่ว) among (ระหว่าง 3 คน หรือ 3 สิ่ง) inside (ข้างใน) below (ข้างล่าง, ใต้, ต่ำกว่า) into (เข้าไปข้างใน) to(ไปยัง) like (เหมือนกัน, คล้ายกับ) toward (ไปยัง) beneath (ข้างล่าง, ใต้, ต่ำกว่า) under (ข้างใต้) beside (ข้างๆ) of (ของ) until (จนกระทั่ง) between (ระหว่าง 2 คน หรือ 2 สิ่ง) off (ออกจาก) with (กับ ,ด้วย) beyond (โพ้น, ถัดไป) on (บน) without (ปราศจาก)
นอกจากเป็นคำๆ แล้ว Preposition ภาษาอังกฤษยังมีลักษณะเป็นหมู่คำหรือกลุ่มคำด้วย เรียกว่า Phrasal Preposition หรือบุพบทวลี ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการนำเอาคำบุพบท 2 คำไปใช้ร่วมกับคำนาม เช่น
by means of – โดยวิธี on behalf off – ในนามของ in comparison with – เมื่อเปรียบเทียบกับ by reason of – ด้วยเหตุผลที่ว่า on the occasion of – ในโอกาสที่ in front of – ข้างหน้าของ with regard to – เกี่ยวกับ on the part of – ของ, ทางฝ่าย in regard to – เกี่ยวกับ with respect to – เนื่องจาก, เกี่ยวกับ at the cost of – โดยแลกกับ in return to – เพื่อเป็นการตอบแทนที่ with the purpose of – โดยต้องการที่จะ at the hands of – จากน้ำมือของ in spite of – แม้ว่า with a view to – โดยประสงค์ที่จะ at a result of – เป็นผลของ in the event of – ในกรณีที่ for fear of – ด้วยเกรงว่า in addition to – นอกเหนือจาก in the course of – ในระหว่าง for the benefit of – เพื่อประโยชน์ของ in case of – ในกรณีที่ in the middle of – ท่ามกลาง, ในระหว่าง
นอกจากนี้เรายังต้องหมั่นสังเกตและจดจำอีกด้วยว่า Noun, Verb หรือ Adjective บางตัว เวลานำมาใช้จะต้องใช้คู่กับ Preposition ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น เช่น result + in หรือ bring + about แปลว่า ทำให้เกิด หรือ be responsible + for แปลว่า รับผิดชอบหรือเป็นต้นเหตุ หรือ an increase + in มีความหมายว่า การเพิ่มขึ้นด้าน…
ตัวอย่าง Noun + Preposition เช่น
the cause, advantage, a map, a picture, a photo + of
a reason, a need, a demand + for
an increase, a rise, a decrease, a fall + in
damage, a solution, a key, and attitude + to
a relationship, a contact, a connection + with
a relationship, a contact, a connection + between
a answer, a reaction + to
a plan, a drawing, a photograph, a snap + of
การดู Preposition ในประโยคภาษาอังกฤษ
1. Preposition ที่เจอนั้นใช้ถูกต้องตามความหมายหรือเปล่า หรือใช้คู่กับ Noun, Adjective หรือ Verb ตัวนั้นถูกหรือไม่
2. คำที่อยู่หลัง Preposition นั้นใช่เป็นคำนามหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นคำนามเดี่ยวๆ นามวลี Noun clause หรือ Gerund ถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่าคำที่ตามหลัง Preposition ตัวนั้นผิดแน่นอน
ตัวอย่าง Adjective + Preposition
Interested in, keen on, allergic to, worried about, happy about, afraid of, frightened of
แต่ในกรณีของ Verb + Preposition นั้น เมื่อเพชร Preposition ถูกนำมาใช้คู่กับ Verb เราจะเรียกว่า Phrasal Verb หรือ Two-word Verb และในภาษาอังกฤษมี Phrasal Verb จำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องหมั่นท่องจำให้ได้ว่า Verb ตัวนั้น เมื่อนำมาใช้คู่กับ Preposition ตัวนี้มีความหมายว่าอย่างไร
ตัวอย่าง Phrasal Verb หรือ Verb + Preposition
Turn around – หมุนกลับ,หันกลับ / กลับมาประสบความสำเร็จ break off – ยุติความสัมพันธ์ / หยุดการกระทำบางอย่าง cut out – ตัด / ลบหรือเอาทิ้ง tuck in – พาเด็กเข้านอน / รับประทานด้วยความหิว give away – ให้ฟรี / แพร่งพรายความลับ take back – ถอนคำพูด / เอาสินค้าไปคืนร้าน hang up – แขวน / วางโทรศัพท์ turn it – เข้านอน / มอบตัวกับตำรวจ call off – ยกเลิก / สั่งให้หยุด tear off – ฉีก / ถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว



Adverb คำกริยาวิเศษณ์

Adverbs คือ คำหรือกลุ่มคำที่ไปทำหน้าที่ขยาย verb และ adjective อีกทั้งยังสามารถขยาย adverb ด้วยกันเองก็ได้ เพื่อให้เนื้อความของประโยคนั้นมันชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jim shops locally. (shops – verb, locally – adverb)
locally ไปขยายกริยา shops
My husband is extremely considerate (extremely – adverb, considerate – adjective)
extremely ไปขยายคำคุณศัพท์ consider
Adverb ส่วนใหญ่มักลงท้ายด้วย ly ซึ่งเกิดจากการเติม ly ลงไปท้ายคำ adjective นั่นเอง
เช่น nice (adjective)+ ly = nicely (adverb)
Adverb ชนิดต่างๆ มีดังนี้ (สามารถคลิกที่หัวข้อ เพื่ออ่านรายละเอียด)
Adverb of Time บอกเวลา เช่น before dark, after sunset, before sunrise, after school
Adverb of Manner บอกกิริยาอาการ เช่น slowly, happily, sadly, quickly, continuously
Adverb of Place บอกสถานที่ เช่น there, and the Island. over the seas, in the city.
Adverb of Frequency บอกความถี่บ่อย เช่น everyday, weekly, hourly
Adverb of Certainty บอกความแน่ใจ เช่น probably, certainly, obviously, undoubtedly
Adverb of Degree บอกความเข้มข้นของการกระทำ เช่น extremely, quiet, just, almost
Adverb of Purpose บอกจุดมุ่งหมาย เช่น to win the game, to get the gift, to get attention, to pass the test
Adverb จะต้องสามารถตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย How? When? Where? Why? ได้
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jim easily lift the barbell.
จิมยกบาร์เบลอย่างไร How did he lift the barbell?
คำตอบคือ easily ซึ่งเป็น adverb ขยายกริยา lift ทำให้รู้ว่ายกขึ้นอย่างง่ายดาย
Adverb สามารถวางไว้ได้หลากหลายที่ แล้วแต่การเน้นของผู้พูดหรือผู้เขียน ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของ Adverb ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว Adverb สามารถวางไว้ท้ายประโยคก็ได้ หรือวางไว้ต้นประโยคก็ได้ หรือแม้แต่วางไว้หน้ากริยาแท้ (Main verb) ของประโยคก็ได้
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
She climb the ladder slowly.
Slowly she climbed the ladder.
She slowly climbed the ladder.
Adverb ที่วางไว้ระหว่างกริยาช่วย (Modal verb) และกริยาแท้ (Finite Verb)
เช่น Frequency: always, usually, normally, generally, often, frequently, sometimes, occasionally, seldom, hardly ever, rarely, never
Certainty: probably, certainly, obviously, definitely, surely, undoubtedly
Degree: extremely, quiet, just, nearly, almost, very, too, enough
I(ประธาน) am(กริยาช่วย) usually(adverb) right.(ส่วนขยาย)
He(ประธาน) has(กริยาช่วย) already(adverb) seen(กริยาแท้) the film.(ส่วนขยาย)
We(ประธาน) can(กริยาช่วย) sometimes(adverb) play(กริยาแท้) tennis.(ส่วนขยาย)
She(ประธาน) hardly(adverb) cooks(กริยาแท้) dinner.(ส่วนขยาย)
He(ประธาน) has(กริยาช่วย) never(adverb) been remembered (กริยาแท้) for his novels.
คำบางคำมีรูปเดียว แต่สามารถนำมาใช้เป็นได้ทั้ง Adjective และ Adverb ได้แก่ early, late, hard, fast, long, high, low, deep, near
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
The early train arrives at 8.45 a.m.
early ทำหน้าที่เป็น adjective ขยายคำนาม train
The 8.45 a.m. train arrived early.
early ทำหน้าที่เป็น adverb ขยายกริยา arrived



เรียนรู้เรื่อง คำ Adjective คำคุณศัพท์

ประเภทของ Adjective

Adjective เป็นคำที่ไปทำหน้าที่ขยาย Noun หรือ Pronoun (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะ คุณภาพหรือสมบัติของ Noun หรือ Pronoun นั้นว่าเป็นอย่างไร เช่น tall, short, small, big, beautiful, elegant, careful, intensive, possible เป็นต้น
Adjective คือ คำคุณศัพท์ เป็นคำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม หรือ คำสรรพนาม เพื่อบอกให้ทราบรายละเอียดลักษณะ ชนิด คุณภาพ จำนวน ปริมาณ ไปจนถึงคุณสมบัติของคำนามหรือคำสรรพนามนั้นๆ เป็นการบอกข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นอย่างไร เช่น เล็ก ใหญ่ สั้น ยาว อวบ ผอม อ้วน ขยัน ขี้เกียจ เศร้า มีความสุข ฯลฯ
โดยปกติแล้วในภาษาอังกฤษสามารถแบ่ง adjective ออกเป็น 11 ประเภท ดังนี้ (สามารถคลิกที่หัวข้อ adjective แต่ละประเภท เพื่ออ่านรายละเอียด)
Demonstrative adjective
ใช้เพื่อชี้เฉพาะ เช่น this, that, these, those, such
ตัวอย่างเช่น I used to buy this kind of shirts.
Descriptive adjective
ใช้บอกลักษณะ เช่น good, pretty, happy, sorry, rich
ตัวอย่างเช่น She brushed her long brown hair.
Distributive adjective
ใช้เพื่อแบ่งแยก เช่น each, every, either, neither
ตัวอย่างเช่น Every boy has one or the other pet.
Emphasizing adjective
ใช้เพื่อเน้นความ เช่น own, very
Exclamatory adjective
ใช้เพื่อแสดงการอุทาน มักขึ้นต้นด้วย what
ตัวอย่างเช่น What a beautiful flower is it.
Interrogative adjective
ใช้เพื่อแสดงเป็นคำถาม เช่น what, which, whose
เช่น What movie are you watching.
Numeral adjective
ใช้บอกจำนวน เช่น one, three, first, second, double, triple
เช่น The hand has five fingers.
Possessive adjective
ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น my, our, your, his, her
เช่น Allan sold his dog.
Proper adjective
ใช้บอกสัญชาติ เช่น my, our, your, his, her
เช่น Thai, English, Japanese
เช่น I am Thai.
Quantitative adjective
ใช้บอกปริมาณ เช่น much, many, some, any, little
เช่น She has a little knowledge.
Relative adjective
ใช้ขยายนามที่ตามหลัง พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นคำสันธานเชื่อมประโยคหลังของตัวเองเข้ากับประโยคข้างหน้า ได้แก่ what, whichever
เช่น Give me what money you have.
ตัวอย่าง Adjective
สัมผัส
flaky, fluffy, bumpy, cuddly, rough, damp, gritty, smooth
เสียง
thundering, raspy, screeching, purring, faint, melodic
รสชาติ
fresh, icy, sticky, spicy, bitter, greasy, tasteless
ขนาด
huge, petite, teeny-tiny, scrawny, massive, gigantic
รูปทรง
deep, flat, curved, round, oval, square, narrow
ปริมาณ
many, empty, abundant, heavy, light, multiple, sparse
เวลา
modern, rapid, quick, early, swift, old-fashion, ancient
สภาวะ
hot, cold, rainy, sunny, stormy, freezing, foggy
สี
white, black, blue, red, reddish, green, greenish
ลักษณะ
smart, shy, beautiful, crazy, rich, clever, concerned
และยังมีวิธีช่วยจำ Adjective โดยการดูจาก Suffix ที่อยู่ท้ายคำเหล่านั้น
มีดังนี้ -ive, -able, -ible, -ent, -less, -ish, -ful, -al, -y, -ous
ตัวอย่าง Adjective ที่ลงท้ายด้วย Suffix ด้านบน
เช่น famous, helpful, foolish, healthy, natural, abusive, homeless, fashionable
ตำแหน่งของ Adjective
1.อยู่หน้าคำนามที่มันไปขยาย เช่น
strong man
strong เป็น adjective ไปขยายคำว่า man ซึ่งเป็นคำนาม เพื่อบอกว่ามีลักษณะอย่างไร
2.อยู่หลังคำนามหรือสรรพนาม (เช่น someone, somebody, something, anyone, anything เป็นต้น) ที่มันไปขยาย เช่น
May has something important to tell you.
important เป็น adjective เมื่อไปขยายคำสรรพนามกลุ่มนี้ต้องวางข้างหลังเสมอ
3. อยู่หลัง Verb to be และ Linking Verb เช่น
I feel cold and achy.
cold and achy เป็น adjective ทั้งคู่ เวลาใช้ต้องวางไว้หลัง Verb to be หรือ Linking Verb
ยังมี adjective บางตัวที่เวลาใช้ต้องคำนึงถึงตำแหน่งด้วย
วางไว้หน้าคำนาม เช่น sick, healthy, elder, eldest, only, frightened, little, lone, living, sleeping, main, mere, former, upper, indoor, inner, outdoor, outer, chief, principal
วางไว้หลัง Verb to be หรือ Linking Verb เช่น ill, well, older, oldest, glad, content, small, pleased, asleep, ashamed, alive, aware, awake, ablaze, afraid, afloat, adrift, ajar
ตัวอย่างเช่น
Jim is a sick man. > Jim looks ill.




เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Verb (กริยา)

เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Verb (กริยา)

Verb (กริยา) เป็นคำ หรือ กลุ่มคำที่เป็นการแสดงออก การเคลื่อนไหวของประธาน หรือแสดงสภาวะของประธาน เช่น eat กิน, run วิ่ง, walk เดิน, see เห็น, go ไป
คำกริยา ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประโยคภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่มีคำกริยาก็จะไม่สามารถสร้างประโยคได้
คำกริยาภาษาอังกฤษประกอบด้วย Finite Verb และ Non-finite Verb
ประเภทของ Verb
Finite > Action, Linking, Auxiliary
Non-finite > Infinite, Gerund, Participle
Finite Verb
คือกริยาแท้ ถือเป็นกริยาที่สำคัญของประโยค (กริยาแท้หรือกริยาหลัก Main Verb) เป็นกริยาที่แสดงถึงกาลเวลา (Tense) หรือกริยาที่ถูกกำหนดโดยส่วนประธาน (Subject-Verb Agreement) ซึ่งอาจจะเป็นพจน์ (Number) ของนาม คือเอกพจน์หรือพหูพจน์, สรรพนามบุรุษที่ 1, 2, หรือ 3 (Person) หรือประธานอื่นๆ โดย Finite Verb แบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่ Action Verb, Linking Verb และ Auxiliary Verb
Action Verb
เป็นคำกริยาที่แสดงอาการ การกระทำ มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว (Movement) เช่น run, eat, read, jump, walk, swim, sing เป็นต้น
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
John eats snack. (eats เป็น Action Verb ทำหน้าที่เป็น Main Verb ของประโยค)
The girl cried at morning. (cried เป็น Action Verb ซึ่งทำหน้าที่เป็น Main Verb ของประโยค)
Linking Verb
เป็นกริยาที่ใช้เชื่อม Subject กับคำอื่นเพื่อขยายประธานของประโยคให้ได้ใจความสมบูรณ์ Linking Verb ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษเจอบ่อยๆ ได้แก่ Verb to be (be, is, am, are, was, were, being, been) นอกจากนี้ยังรวมถึงคำกริยาบางตัว เช่น feel, small, taste, sound, become เป็นต้น ทั้งนี้คำที่อยู่หลัง Linking Verb จะถูกเรียกว่า Subjective Complement คือ ส่วนขยายประธาน ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้ง Adjective (คำคุณศัพท์) หรือ Noun (คำนาม) โดยมีหน้าที่เสริมความให้ประธานชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
The sky looked grey. (The sky – subject, looked – linking verb, grey – subjective complement)
ประโยคนี้ looked ไม่ได้เป็น Action Verb ที่แปลว่า มองดู ไม่ได้แปลว่า ท้องฟ้ามองดูเป็นสีเทา แต่เป็น Linking Verb ที่บอกสภาพของท้องฟ้า The sky ว่า ดูเป็นสีเทา หรือมีลักษณะสีเทา
Tukky is a comedian. (Tukky – subject, is – linking verb, comedian – subjective complement)
ประโยคนี้ comedian วางอยู่หลัง is ทำหน้าที่ขยายประธาน ทำให้รู้ว่า Tukky นั้นเป็นนักแสดงตลก
หลัง Linking Verb ต่อไปนี้ จะต้องตามด้วย Adjective เสมอ
คำกริยากลุ่มที่หมายความว่า กลายเป็น ได้แก่ get, go, grow, become ,fall, turn
คำกริยากลุ่มที่แปลว่า ดูเหมือนว่า ได้แก่ look, appear, seem
คำกริยากลุ่มที่บอกความรู้สึก กลิ่น รส และ ความไพเราะของเสียง ได้แก่ feel, smell, taste, sound
คำกริยากลุ่มที่หมายความว่า เป็นอยู่ในสภาพนั้นๆ ได้แก่ keep, remain, stay
ตัวอย่างประโยค The steak doesn’t taste nice. (taste – linking verb, nice – subjective complement/ adjective)
Auxiliary Verb
หมายถึง กริยาช่วย กลุ่ม be (am, are is, was, were, being, been), do (does, did) และ have (has, had, having) ซึ่งจะตามด้วยกริยาแท้ (Main Verb) เพื่อสร้างประโยคคำถามคำถาม (Question) ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) กาล (Tense) หรือประโยคที่ประธานถูกกระทำ (Passive Voice) สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Helping Verb
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
I gave the matter a great deal of thought. (gave – main verb)
I have given the matter a great deal of thought. (have – auxiliary verb, given – main verb)
I have been giving the matter a great deal of thought. (have been – auxiliary verb, giving – main verb)
Do they drive safely? (Do – auxiliary verb, drive – main verb)
We don’t want anything. (don’t – auxiliary verb, want – main verb)
นอกจากนี้ ตำราไวยากรณ์ภาษาอังกฤษบางเล่ม ก็ยังจัดให้ Modal Verb (กริยาช่วยชนิดพิเศษ) อยู่ในกลุ่มของกริยาช่วยประเภทหนึ่งเรียกว่า Modal Auxiliary Verb มีหน้าที่ทำให้กริยาแท้มีความหมายแตกต่างกันไป เช่น can, could, shall, should, will, would, may, might, must, ought to, need, needn’t โดย Modal Auxiliary Verb เหล่านี้จะใช้นำหน้าคำกริยาแท้หรือกริยาหลัก (Main Verb) ซึ่งอยู่ในรูป Verb Base Form (กริยาพื้นฐาน คือรูปลักษณะที่ยังไม่ได้ฝัน ไม่มีการเติม -s, -es, -ed, – ing) หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า verb 1 นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น People should choose friends wisely. (should – modal verb, choose – main verb)
หน้าที่ของ Modal Verb
ไม่จำเป็นต้อง = don’t have to
แนะนำ = should, ought to, had better
บังคับหรือห้าม = must, have to, mustn’t
แสดงความสามารถ = can, could, be able to
ขออนุญาต = can, could, may
ขอร้อง = can, could, will
แสดงความเป็นไปได้ = may, might
แสดงการคาดการณ์ล่วงหน้า = must, can’t
เสนอแนะ = shall
เสนอหรือแนะนำ = can, could, shall
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
May can ride a horse (แสดงความสามารถ)
You should eat more fruit. (แนะนำ)
You don’t have to call taxi. (ไม่จำเป็นต้อง)
หากในประโยคภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งคำกริยาแบบ Auxiliary Verb และคำกริยาแบบ Modal Auxiliary Verb อยู่ด้วยกัน ผู้เรียนภาษาอังกฤษจะต้องวาง Modal Auxiliary Verb ไว้หน้า Auxiliary Verb เท่านั้น แล้วจึงตามด้วยกริยาแท้ หรือ Main Verb ของประโยค
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
The computer could have made an error. (could – modal auxiliary, have – have auxiliary, made – main verb)
หากมี Adverb of Frequency ได้แก่ always, usually, frequency, often, sometimes, occasionally, hardly, barely, rarely, scarcely, seldom และ never มาอยู่ในประโยคด้วย จะต้องวางอยู่ตรงกลางระหว่าง Modal Auxiliary Verb และ Main Verb
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
I will always love you. (will – modal verb, always – adverb of frequency, love – main verb)
Finite Verb นี้ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของประโยค เพราะถ้าประโยคใดก็ตามขาดกริยาแท้ไป ก็จะทำให้ความหมายของประโยคนั้นไม่สมบูรณ์ พูดง่ายๆ ก็คือ Finite Verb คือ กริยาแท้ที่มีประธานเป็นของตัวเองและเปลี่ยนรูป (ผันได้ 3 ช่อง) ตาม Tense ในประโยค
John and Jim sing a song.
They sing a song.
Jack will sing a song.
He sings a song.
You are singing a song.
May is singing a song.
She was singing a song.
จากตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษข้างบนจะสังเกตเกี่ยวกับกริยาแท้ (Finite Verb) ได้ดังนี้
กริยาแต่ละตัวจะมีประธานของมันเอง รูปของกริยาจะผันตามประธานที่อยู่ข้างหน้า กริยาแต่ละตัวเวลานำมาใช้ถูกกำหนดโดยพจน์ (Number) ของนาม คือเอกพจน์ หรือ พหูพจน์, สรรพนามบุรุษที่ 1,2,3 (Peron) และ กาล (Tense)
การใช้ Finite Verb ให้ถูกต้อง
อันดับแรก ดูที่ Tense ในประโยคนั้นว่าเป็น ปัจจุบัน(Present) อดีต(Past) หรือ อนาคต(Future) โดยสังเกตจากคำบอกเวลา (Adverb of time) และต่อมา ให้ดูที่ Subject-Verb Agreement คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับกริยา ถ้าประธานเอกพจน์ต้องใช้กริยาเอกพจน์ ถ้าประธานพหูพจน์ก็ต้องใช้กริยาในรูปพหูพจน์ และสุดท้าย Active/ Passive โดยปกติแล้วประธานของประโยคจะอยู่ในรูป Active คือประธานจะเป็นคนกระทำกริยานั้นเอง แต่ถ้าอยู่ในรูป Passive ประธานนั้นจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ
Non-finite Verb
เป็นกริยาไม่แท้ และจะไม่มีการผันตาม Tense หรือ ประธานที่อยู่ข้างหน้า (รูปเอกพจน์ / พหูพจน์) มีเพียงรูปเดียว ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็ตามของประโยค กริยากลุ่มนี้ ได้แก่ Gerund, Infinitive และ Participle และกริยากลุ่มนี้ จะไม่ถูกนำมาใช้เป็นกริยาแท้ของประโยค แต่จะถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อื่นๆ โดยเป็นคำนามบ้าง เป็นคำคุณศัพท์บ้าง


เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Pronoun

เป็นคำที่ใช้แทนคำนาม หรือเสมอนาม มีเพื่อหลีกเหลี่ยงการพูดแบบซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง
Demonstrative
ใช้เพื่อบ่งชี้ว่าเป็นสิ่งไหน อันไหน คนไหน ได้แก่
this, that, these, those, one, ones
เช่น Did you do that?
Relative Pronoun << คลิกอ่านแบบละเอียด
ใช้แทนคำนามคำนามที่อยู่ข้างหน้า และเชื่อมประโยคหน้า-หลังเข้าด้วยกัน ได้แก่ who,whom, whoes, which, that, where, when, why
เช่น She is the girl who helped me.
Indefinite
ใช้แทนคำนามทั่วไป ไม่เจาะจง ได้แก่ some, any, none, all, someone, something, somebody, anybody, anyone, few, everyone, everything, many, nobody,others
เช่น I hope some one will help me.
Interrogative
ใช้แทนคำนามสำหรับคำถาม และต้องไม่มีคำนามตามหลัง
ได้แก่ who, whom, whose, what, which, whoever, whomever, whatever, whichever
เช่น Who likes candy?
Possessive
ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ mine, ours, yours, his, hers, its, theirs
เช่น This pen is yours.
Reflexive
สะท้อนกลับไปยังคำนามหรือสรรพนามที่เป็นประธานของประโยค ได้แก่ myself, itself, himself, herself, yourself, yourselves, themseleves, ourselves
เช่น You should do it yourself.
Persanal
ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ได้แก่ I, you, we, they, he, she, it
เช่น You are beautiful.
Distributive Pronoun << คลิกอ่านแบบละเอียด
ใช้แทนคำนามเพื่อแบ่งแยก จำแนก แยกแยะ ต้องไม่มีคำนามตามหลัง ได้แก่ one, each, either, neither
การใช้ Personal Pronoun
เรียงจาก subject (ประธาน) > object (กรรม) > possessive adjective (คุณศัพท์เจ้าของ) > possessive pronoun (สรรพนามเจ้าของ) > reflexive (สะท้อนเพื่อเน้น)
I > me > my > mine > myself
you (เอกพจน์) > you > your > yours > yourself
he > him > his > his > himself
she > her > her > hers > herself
it > it > its > its > itself
we > us > our > ours > ourselves
you (พหูพจน์) > you > your > yours > yourselves
they > them > their > theirs > themselves
ตัวอย่างการใช้ Personal Pronoun
Jame called May all day, but she never answered the phone.
ใช้ she ในประโยคแทนคำนาม และ May เป็นผู้หญิงจึงต้องใช้ she ในรูปประธาน (subject) เพื่อทำหน้าที่เป็นประทานในการกล่าวซ้ำ ให้กับกริยา answered
Although Mrs.Day had a lot of money, she made poor use of it.
ใชั it ในประโยคเพื่อแทน money ซึ่งเป็นสิ่งของ และต้องใช้สรรพนาม it ในรูปกรรม(object) เพราะทำหน้าที่เป็นกรรมของบุพบท (Preposition) of
The students hoped their team would win.
ใช้ their ในประโยคนี้ นอกจากทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของของคำนาม team แล้ว ยังทำหน้าที่แทนคำนาม students ด้วย โดย Possessive Adjective จะมีโครงสร้างการใช้คือ Possessive Adjective + Noun คือจะต้องวาง Possessive Adjective ไว้หน้าคำนาม เพราะตัวมันเองทำหน้าที่เป็น Adjective ชนิดหนึ่ง และตามหลังมันต้องเป็น Noun เสมอ
เช่น That is her book. (Possessive Adjective + Noun)
That book is hers. (Possessive Pronoun)
ในประโยคแรก her ทำหน้าที่เป็น Possessive Adjective เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของคำนาม book ส่วนในประโยคที่สอง hers เป็น Possessive Pronoun หมายถึง สรรพนามที่บ่งแสดงการเป็นเจ้าของ เวลาใช้จะมีการเอ่ยถึง Noun มาก่อน(ในประโยคนี้คือ book)
และที่สำคัญ Possessive Pronoun สามารถใช้แทนที่ได้ทั้ง Possessive Adjective และ Noun มาก่อน (ในประโยคนี้คือ book) และที่สำคัญ Possessive Pronoun สามารถใช้แทนที่ได้ทั้ง Possessive Adjective และ Noun ที่มันขยาย ฉะนั้นเมื่อใช้ Possessive Pronoun จึงไม่ต้องมีคำนามตามหลังอีก
เมื่อเจอ Pronoun ให้เช็กดูว่า Pronoun ตัวนั้นสัมพันธ์กับ Noun ที่มันถูกนำมาใช้แทนที่หรือไม่
Indefinite Pronoun
เป็นอนิยมสรรพนาม หรือ คำสรรพนามที่ไม่ชี้เจาะจงลงไปว่าเป็นใคร อะไรหรือสิ่งไหน สามารถใช้แทนคำนามทั่วๆไป บางคำใช้อย่างเอกพจน์ บางคำใช้อย่างพหูพจน์ ดังนี้
เป็นเอกพจน์เสมอ ใช้คู่กับกริยาเอกพจน์เสมอ ได้แก่ each, every, one, either, niether, another, everyone, everybody, everything, anyone, anybody, anything, no one, nobody, nothing, someone, somebody, something
เป็นพหูพจน์เสมอ ใช้คู่กับกริยาพหูพจน์เสมอ ได้แก่ both, many, others, several, few, fewer
เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ โดยต้องดูว่าตัวมันไปทำหน้าที่แทนคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ ได้แก่ none, some, more, most, any, all
ตัวอย่างเช่น Each sees the value of the course.(เอกพจน์)
Everybody has gone to the movies.(เอกพจน์)
Nothing seems right around this house anymore!(เอกพจน์)
Another is on the way.(เอกพจน์)
Some of the debt has been paid off.(เอกพจน์)
ในประโยคนี้ทำหน้าที่แทนคำนาม dept ซึ่งเป็นเอกพจน์ ดังนั้นจึงต้องใช้กริยารูปเอกพจน์คือ has
Some of the debts are still outstanding.(พหูพจน์)
ในประโยคนี้ทำหน้าที่แทนคำนาม debts ซี่งเป็นพหูพจน์ ดังนั้นจึงต้องใช้กริยารูปพหูพจน์คือ are
การเลือกใช้สรรพนามให้สัมพันธ์ให้สัมพันธ์กับประธานหรือคำนามที่อยู่ข้างหน้า(Antecedent)
1.ถ้าประธานหรือคำนามที่อยู่ข้างหน้า (Antecedent) มีมากกว่าหนึ่ง และ Antecedent เหล่านั้นเป็นเอกพจน์ เชื่อมด้วย or หรือ nor ให้ใช้สรรพนามตามประธานตัวหลัง เช่น Either John or May left her brieftcase in the conference room. แต่ถ้าเชื่อมด้วย and จะต้องใช้สรรพนามในรูปพหูพจน์ เช่น Martha and Henry enjoyed their vacation.
2. Indefinite Pronoun เช่น everyone, everybody, no one, nobody, anyone, anybody, someone, somebody, each, either และ neither ตามหลักไวยากรณ์สมัยก่อนจะใช้สรรพนามเอกพจน์เพศชาย เช่น Everyone in the office expressed his opinion.
แต่ปัจจุบันมีการหันมาใช้ they หรือ he she แทน เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งแยกทางเพศ(แต่ที่นิยมใช้กันคือ he or she) เช่น Everyone discovers that he or she cannot always be calm and patient. หรือ Everyone discovers that they cannot always be calm and patient.
3.one ที่แปลว่า”หนึ่ง”ยังมีความหมายว่า”คนเรา”ได้ด้วย และสรรพนามของ one ในความหมายนี้คือ one และสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของของ one คือ one’s ไม่ใช่ his หรือ her เช่น One must do one’s duty.
One ought to be responsible for what one says.



เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Noun (คำนาม)

คำนามในภาษาอังกฤษมีมากมายหลากหลายประเภท ดังนี้
Common Noun, Proper Noun, Countable Noun, Uncountable Noun, Concrete Noun, Compound Noun, Collective Noun
Common Noun
เป็นคำนามทั่วไป ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ที่ไม่เจาะจง
เช่น cat dog school
อ่านแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างประโยค คลิก >> Common noun
Proper Noun
เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะเจาะจง ของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ จะขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ
เช่น Somchai Thailand Tony Japan
อ่านแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างประโยค คลิก >> Proper noun
Countable Noun
เป็นคำนามนับได้ มีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ จะต้องมีจำนวน หรือ a, an นำหน้า
เช่น doctor room
Uncountable Noun
เป็นคำนานที่นับไม่ได้ อย่างของเหลว ของแข็งบางชนิด รวมถึงนามธรรมต่างๆ บางครั้งก็เรียกว่า Mass noun ก็ได้
เช่น work weather happiness
Concrete Noun
เป็นคำนามที่เรียกคน หรือ สิ่งของ ที่มีรูปร่างซึ่งสามารถสัมผัส เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือ ลิ้มรสได้
เช่น money car paper
อ่านเพิ่มเติม พร้อมตัวอย่างประโยค คลิก >> Material noun
Abstract Noun
เป็นคำนามที่เรียกสิ่งที่ไม่มีรูปร่างอย่างอารมณ์ แนวคิด การกระทำ คุณสมบัติ หรือ สภาพ ซึ่งไม่สามารถสัมผัส ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือ ลิ้มรสได้
เช่น love, education, hope
อ่านแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างประโยค คลิก >> Abstract noun
Compound Noun
เป็นคำนามสองคำขึ้นไป มารวมกันเพิ่อสร้างคำใหม่ สามารถเขียนเป็นคำเดียว เชื่อมด้วย – หรือ เขียนแยกกันก็ได้
เช่น rainfall sunglasses
Collective Noun
เป็นคำนามที่เป็นกลุ่มคำ หรือ หมู่คณะของคน สัตว์ หรือ สิ่งของ เวลาใข้มักตามด้วย of + คำนามพหูพจน์
ตัวอย่าง bunch of flower
เช่น stack crowd
นอกจากนี้ยังรวมถึงคำนามคำเดียว
เช่น family team class
อ่านแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างประโยค คลิก >> Collective Noun
และอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้แยกคำนามออกได้ นั่นคือการสังเกต suffix เหล่านี้ ถ้ามี suffix เหล่านี้ลงท้ายแสดงว่าเป็น noun
-dom -ity -ety -ness -ance -ship -ence -cy -al -ure -lon -ment
เช่น freedom society sadness kindness anxiety
และการสังเกต Article (a, an, the)
ลำดับต่อไปเราก็ต้องมาแยกว่าคำนามนั้น เป็นคำนามนับได้(Countable) หรือคำนามที่นับไม่ได้(Uncountable) ถ้าคำนามนับได้หมายความว่าคำนามตัวนั้น จะมีสองรูปด้วยกัน คือ รูปเอกพจน์(Singular) โดยจะต้องมี a an หรือ the นำหน้า และ รูปพหูพจน์(Plural) แต่ถ้าคำนามนั้นนับไม่ได้ ให้ถือเป็นเอกพจน์เสมอ
การเปลี่ยนรูปจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์ ทำได้หลายวิธี โดยการเติม s, es ที่ท้ายคำนาม เช่น books pens candies toys หรือบางที อาจมีการเปลี่ยนรูป เช่น child-children man-men mouse-mice
คำนามบางตัวจะมีรูปเดียวทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น fish sheep deer series species means aircraft salmon swine
การใช้ Countable Noun
Countable หรือ คำนามนับได้จะมีอยู่สองรูปคือเอกพจน์และพหูพจน์ ในกรณีเป็นเอกพจน์ ถ้าต้องการเน้น สามารถใส่ the ที่หน้าคำนามตัวนั้นได้ แต่ถ้าพูดถึงโดยทั่วไปไม่เจาะจง จะต้องใส่ a หรือ an นำหน้า
และในกรณีเป็นพหูพจน์ ถัาต้องการเน้น ให้ใส่ the ที่หน้าคำนามตัวนั้น
แต่ถ้าในส่วนของ Uncountable Noun หรือคำนามนับไม่ได้ ห้ามมีArticle ใดๆ ยกเว้นคำบอกปริมาณ เช่น some, any, little ตัวอย่างเช่น some sugar little money
และยังมีคำนามอีกสองประเภทที่ควรรู้จัก นั่นคือ Noun Phraseและ Noun Clause
Noun Phrase
แปลว่า นามวลี หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบขึ้นจากคำต่างๆตั้งแต่สองคำขึ้นไป โดยมี Noun หรือ Pronoun เป็นคำหลัก และมี Modifier(ส่วนขยาย) ประกอบเพื่อขยายคำหลักให้ได้ใจความมากขึ้น แต่ไม่สมบูรณ์อย่างประโยค
เช่น I have a very old house.
have(verb) a(article) very(adverb) old(adjective) house(noun)
Noun Clause
หรือ นามานุประโยค คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นคำนาม ซึ่งหมายความว่ามันจะเป็นประธานของกริยา กรรมของกริยา หรือกรรมของบุพบทก็ได้ มักขึ้นต้นด้วย what when where why which who whom whose how whether (หรือ if) that แล้วตามด้วย Subject + Predicate(เหมือนประโยคบอกเล่า)
เช่น I am wondering why the sky is blue.
I don’t know what I shoul do.
หน้าที่ของคำนาม
1.เป็นประธานของกริยาในประโยค เช่น May is in the kitchen.
2.เป็นกรรมของกริยาในประโยค(ทั้งกรรมตรงและกรรมรอง) เช่น May ate some meatballs
3.เป็นกรรมชองบุพบทในประโยค เช่น The company was founded by the owner’s grandfather.
4.เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาเพื่อขยายให้ประธานได้ความชัดเจนขึ้น มักจะวางหลัง Verb to be หรือ become เช่น May is a student.
5.เป็นส่วนขยายกรรมเพื่อให้กรรมตัวนั้น มีเนื้อความกระจ่างขึ้น เช่น They elected Mr.John leader.
6.เป็นคำนามซ้อนคำนามที่อยู่ข้างหน้าได้ และระหว่างคำนามข้างหน้า กับคำนามที่ไปซ้อนตามหลังจะต้องใส่เครื่องหมาย comma (,) คั่นไว้ทุกครั้ง





ครูซักถามเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวของนักเรียนแต่ละคน แล้วเขียนออกมาในรูปของ  mind mapping